วิตามินซี (ภาษาอังกฤษ: Vitamin C) เป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายมีความต้องการเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยบำรุงผิวพรรณได้อย่างดี ดังนั้นคนเราจึงต้องเสริมวิตามินซีให้เพียงพอต่อความต้องการอยู่เสมอ โดยเราสามารถหาวิตามินซีได้จากพืชผักผลไม้ทั่วไป โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว และจากวิตามินซีที่อยู่ในรูปของอาหารเสริม แต่ทั้งนี้การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน ซึ่งก็มีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิตามินซี ดังนี้
8 เรื่องควรรู้ เกี่ยวกับวิตามินซี
- วิตามินซี มีคุณสมบัติละลายน้ำ จึงสามารถซึมซับเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยขับสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังบำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส ลดปัญหาสิว ฝ้า กระ หมดกังวลเรื่องผิวเสียไปได้เลย
- มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพให้มีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเนียนใส สัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่มเหมือนผิวเด็ก พร้อมฟื้นบำรุงผิวที่แห้งกร้านจากการถูกแดดเผา ให้กลับมาเรียบเนียนและดูมีสุขภาพผิวดีอีกครั้ง
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็ก เหมาะกับคนที่ขาดธาตุเหล็กหรือร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย โดยวิตามินซีจะทำให้ร่างกายของเรามีความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น และได้รับปริมาณของธาตุเหล็กและวิตามินซีที่เพียงพอในแต่ละวัน
- ความเครียดจะทำให้วิตามินซีถูกสลายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากวิตามินซีจะถูกดึงไปใช้เพื่อปรับสภาพอารมณ์ในปริมาณมาก ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียดและหมั่นทำกิจกรรมเพื่อการผ่อนคลายบ่อยๆ เพื่อให้วิตามินถูกนำไปใช้อย่างช้าที่สุด
- วิตามินซีมีศัตรูคือ แสง ออกซิเจน บุหรี่ ความร้อนและน้ำ ซึ่งหากได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้นานๆ จะทำให้วิตามินซีสลายไปอย่างรวดเร็ว และทำให้ร่างกายขาดวิตามินซีในที่สุด
- การทานวิตามินซีในปริมาณที่มากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น อาจทำให้เกิดอาการท้องร่วง ปัสสาวะบ่อย เป็นนิ่วหรือมีผื่นผิวหนัง แถมยังอาจทำให้ผลการตรวจวินิจฉัยโรคบางโรคแปรปรวนไปจากความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงควรทานวิตามินซีในปริมาณที่พอเหมาะ และหลีกเลี่ยงการทานวิตามินซีเสริมเมื่อต้องตรวจวินิจฉัยโรค เช่น โรคมะเร็ง เพื่อให้ผลตรวจออกมาตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด
- ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับ คือ 60 mg. ต่อวัน ในคนปกติ ส่วนในหญิงตั้งครรภ์หรือผู้สูงอายุ ควรได้รับวิตามินซีมากขึ้นประมาณ 70-96 mg. ต่อวัน
- การทานวิตามินซีให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด ควรทานหลังมื้ออาหารหรือทานพร้อมอาหาร เพราะวิตามินซีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารและวิตามินซีไปใช้งานได้ง่ายขึ้น และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
แหล่งวิตามินซี จากธรรมชาติ
วิตามินซีในอาหารที่พบได้มาก
โดยปกติแล้วเราสามารถหาวิตามินซีได้จากธรรมชาติ โดยเฉพาะในพืชผักผลไม้ทั่วไป ซึ่งแหล่งวิตามินซีที่พบได้มากที่สุด มีดังนี้
1. มะขามป้อม
มะขามป้อม มีวิตมินซี 276 มิลลิกรัม/100 กรัม นิยมนำมาทานเพื่อให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และเป็นยารักษาโรคต่างๆ ซึ่งประโยชน์ของมะขามป้อม มีดังนี้
- บรรเทาอาการไอและอาการเจ็บคอ ทั้งมีส่วนช่วยในการละลายเสมหะได้เป็นอย่างดี
- บรรเทาอาการหวัด ลดไข้ ตัวร้อนแค่ไหนแค่ทานมะขามป้อมก็เอาอยู่
- ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา และรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น
2. ฝรั่ง
ฝรั่ง มีวิตามินซี 160 มิลิกรัม/100 กรัม สามารถกินได้ทั้งแบบสดๆ จิ้มพริกเกลือหรือจะนำมาทำเป็นฝรั่งแช่อิ่ม แช่บ๊วยก็ได้ แต่แนะนำให้ทานแบบสดๆ จะดีกว่า เพราะมีคุณค่าทางสารอาหารสูง โดยเฉพาะที่เปลือกจะมีวิตามินซีอยู่มากที่สุด โดยฝรั่งมีประโยชน์ ดังนี้
- ลดไขมันในเลือด ป้องกันและบรรเทาโรคเบาหวาน พร้อมทั้งช่วยปรับระดับความดันให้อยู่ในระดับที่ปกติ
- มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ป้องกันโรค และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่จะทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งและช่วยต้านเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
- มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- บรรเทาอาการปวดฟัน และเสริมสร้างเหงือกและฟันให้แข็งแรง ทั้งยังลดอาการอักเสบของเหงือกได้
3. กีวี
กีวี มีวิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัม/100 กรัม มีรสชาติอร่อยๆ ทั้งยังมีกากใยสูงและแคลอรี่ต่ำ จึงไม่ต้องกลัวอ้วน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์อีกมากมาย ซึ่งประโยชน์ของกีวี่นั้น มีดังนี้
- บรรเทาอาการเจ็บคอ ขับเสมหะ พร้อมทั้งบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้คุณดูอ่อนเยาว์ลง และมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น
- มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก สลายไขมันส่วนเกิน ควรทานกีวี่ก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มและทานอาหารมื้อนั้นได้น้อยลง
- ป้องกันอาการท้องผูก เหมาะกับคนที่มักจะท้องผูกบ่อยๆ เป็นอย่างมาก และยังช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
4. มะละกอสุก
มะละกอสุก มีวิตามินซีประมาณ 70 มิลลิกรัม/100 กรัม มีรสชาติหวานอร่อย ทานง่าย และช่วยให้ระบบย่อยอาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ซึ่งประโยชน์ของมะละกอสุก มีดังนี้
- ป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด และลดความเสี่ยงโรคอาการเลือดออกตามไรฟันได้อย่างดีเยี่ยม
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ให้ผิวดูขาวกระจ่างใส และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
- มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะและเป็นยาระบายอ่อนๆ จัดการกับปัญหาอาการท้องผูกได้อย่างอยู่หมัด รวมทั้งป้องกันโรคนิ่วได้เป็นอย่างดี
5. ส้มโอ
ส้มโอมีวิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัม/100กรัม สามารถนำมาทานสดๆและนำไปประกอบเมนูอาหารต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ทั้งยำ สลัดหรือจะนำมาทำเป็นส้มตำก็ได้ โดยประโยชน์ของส้มโอ ได้แก่
- บรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง ให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายท้องมากขึ้น
- ลดอาการปวดและป้องกันเลือดออกตามไรฟัน พร้อมบำรุงสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- แก้หวัด ลดไข้ บรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ช่วยให้รู้สึกชุ่มคอ ลดอาการเจ็บคอได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากนี้ก็ยังมีผักผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีด้วยเช่นเดียวกัน เช่น ส้ม สตรอว์เบอร์รีหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี พริกหวานสีแดง บร็อกโคลี่ ยอดผักหวาน มะระและดอกแค เป็นต้น
วิตามินซีในรูปของอาหารเสริม
นอกจากจะหาวิตามินซีได้จากพืชผักผลไม่ทั่วไปแล้ว ก็สามารถทานวิตามินซีได้จากวิตามินเสริมเช่นกัน ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิตามินเสริม ดังนี้
- วิตามินซีเสริมนั้น มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ด แคปซูล น้ำเชื่อม ลูกอมหรือแบบผง ส่วนจะเลือกกินแบบไหนดีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของตัวคุณเอง
- การเลือกวิตามินซีเสริมนั้น ควรเลือกที่มี ไบโอฟลาโวนอยด์ รูตินและเฮาเพอริดิน เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด และช่วยให้วิตามินซีสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
- ควรทานวิตามินซีเสริม ประมาณ 500-4000 mg. ต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีขนาดในการรับประทานระบุมาอยู่แล้ว
- ควรเลือกวิตามินซีเสริมที่มี อย. และมั่นใจว่าปลอดภัย 100%
ประโยชน์ของวิตามินซี
- มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้ผิวมีความเปล่งปลั่งและดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
- มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้ปัญหาท้องผูก และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้หากทานมากไปก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียแทนได้
- ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง เพราะวิตามินซีจะทำหน้าที่ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ และขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
- ป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ลดอาการไข้หวัด และต่อต้านเชื้อไวรัสต่างๆ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- สลายไขมัน ลดการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังช่วยลดความดันได้ดี
- ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวามากขึ้น
- บำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคลักปิดลักเปิดและปัญหาเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี
- ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ
- ช่วยรักษาแผลผ่าตัดให้หายเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่คลอดด้วยวิธีการผ่าตัด
เมื่อร่างกายขาดวิตามินซีจะเกิดอะไรขึ้น? - มีเลือดออกตามไรฟัน หรือมักจะมีอาการปวดบริเวณเหงือกบ่อยๆ ซึ่งบอกได้ถึงเหงือกที่ไม่แข็งแรง
- เจ็บกล้ามเนื้อ และมีอาการอ่อนแรง ทั้งที่ไม่ค่อยได้ยกของหนักสักเท่าไหร่ และมักจะมีอาการปวดแปลบๆ บ่อยๆ
- ปากแห้งแตกเป็นขุย แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝน
- แผลหายช้ากว่าปกติ
- อ่อนเพลียและรู้สึกเบื่ออาหาร อยากนอนนอยู่ตลอดเวลา แถมไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่าเอาเสียเลย
- ผิวแห้งกร้านคล้ำเสีย ถึงแม้ว่าจะบำรุงผิวอยู่เป็นประจำก็ตาม เนื่องจากเมื่อร่างกายขาดวิตามินซี ก็จะทำให้ขาดคอลลาเจนที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการบำรุงผิวไปด้วย
- เสี่ยงโรคหัวใจ โรคกระดูกและโรคหลอดเลือดสูง
- ภูมิต้านทานต่ำ เป็นหวัดง่าย มักจะเป็นๆ หายๆ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้สูง
โทษจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
- ทำให้การตรวจวินิจฉัยโรคบางโรคเกิดความผิดพลาด เช่น โรคเบาหวาน มะเร็งหรือการตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะ เป็นต้น
- เกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กมากเกิน เนื่องจากวิตามินซีมีส่วนช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้นเมื่อทานวิตามินซีมากไป ก็จะทำให้ได้รับธาตุเหล็กมากไปด้วย ซึ่งก็อาจเกิดผลเสียได้ไม่น้อยเลย
- มีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ คืออาจทำให้ได้รับแร่ธาตุนั้นๆ มากเกินไป หรือน้อยเกินไป
ทำความรู้จักวิตามินซีแบบฉีด
วิตามินซีแบบฉีดกำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าจะสามารถทำให้ผิวขาวใสได้ด้วยการฉีดเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ความจริงแล้ววิตามินซีแบบฉีดคืออะไร และมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน มาทำความรู้จักกับวิตามินซีแบบฉีดกัน
- วิตามินซีแบบฉีด เป็นวิตามินซีเสริมที่ใช้ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง โดยประสิทธิภาพในการบำรุงผิวนั้นก็ไม่ค่อยต่างจากวิตามินแบบทานหรือวิตามินซีจากธรรมชาติสักเท่าไหร่ เพียงแต่จะเห็นผลเร็วขึ้นหน่อยเท่า
- วิตามินซีแบบฉีด จะมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถูกดึงไปบำรุงผิวพรรณ โดยส่วนที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
- ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฉีดวิตามินซีเสริมได้ จะต้องมั่นใจว่าตับมีความแข็งแรงมากพอ และไม่มีประวัติเป็นโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อการฉีด
- ไม่ควรฉีดวิตามินซีเสริมเกิน 2-5 กรัมต่อสัปดาห์ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้สูง
- ควรดื่มน้ำตามมากๆ หลังฉีดวิตามินซีเสริม เพื่อเจือจางความเข้มข้นของวิตามินซี และป้องกันไม่ให้วิตามินซีไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารอื่นๆ ได้
วิตามินซี กินตอนไหนดี?
วิตามินซี เป็นหนึ่งในวิตามินที่ให้ผลดีต่อสุขภาพ สามารถละลายได้ในน้ำ และมีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะตัวช่วยสร้างคอลลาเจนในกระดูกอ่อน หลอดเลือด กล้ามเนื้อ ซึ่งร่างกายจะรับเอาวิตามินชนิดนี้มาจากแหล่งอาหารตามธรรมชาติ หรือเป็นวิตามินซีเสริม โดยเฉพาะผักและผลไม้รสเปรี้ยว ใครที่ต้องการดูแลสุขภาพตัวเองให้ได้ประสิทธิภาพ ควรทราบหลักในการทานวิตามินซี ที่จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้มากที่สุดด้วย
การกินวิตามินซีให้ถูกวิธี และถูกเวลา
สำหรับการกินวิตามินซีให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเวลาไหนเราก็สามารถเลือกทานวิตามินซีได้ทั้งนั้น แต่ควรเลือกทานให้เป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ทว่าหากให้ดีควรเลือกกินเป็นช่วงเช้าประมาณ 9-10 โมงเช้า หลังทานอาหารเสร็จแล้ว เพราะจะช่วยให้วิตามินซีดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย นำไปใช้ได้โดยมีตัวนำพา และจะต้องเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งจะอยู่ที่ 1000-2000 มิลลิกรัม ขึ้นไป หากเป็นไปได้ควรเลือกกินเป็นวิตามินซีจากธรรมชาติ ที่ได้จากผักและผลไม้มากกว่าวิตามินซีอัดเม็ด อย่างไรก็ตามเราก็ควรทราบด้วยว่า แม้จะสามารถกินวิตามินซีชนิดนี้ได้ทุกช่วงเวลาที่ต้องการ แต่การจะได้รับให้เพียงพอต่อวันนั้น ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง กล่าวคือวิตามินซีมีโอกาสเสื่อมสลายได้ง่ายเมื่อสัมผัสโดนออกซิเจน ความร้อน และความชื้นในอากาศ
วิตามินซีทำให้ผิวขาวจริงหรือ?
วิตามินซี ดูเหมือนจะเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรักความงาม โดยเฉพาะในเรื่องความขาวใสของผิว ความขาวที่ได้รับหลังการกินวิตามินซีเข้าไปสามารถเป็นไปได้จริง ด้วยหลักการทำงานของวิตามินซีที่ส่วนช่วยลดการเกิดขึ้นของเม็ดสีเมลานิน แก้ปัญหาจุดด่างดำ เมื่อกินไปนานๆ เข้า ก็ทำให้ผิวดูขาวมากขึ้นกว่าผิวเดิม แต่ระดับความขาวที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้มากจนเลยระดับผิวหนังเดิมของตัวเองไปแต่อย่างใด เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกเหนือจากแค่วิตามินซีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด การทำงานกลางแจ้ง หรือปล่อยให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดและความร้อนโดยตรงเป็นเวลานาน วิตามินซีก็จะสามารถเข้าไปช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้ ส่วนความใสของผิวหน้าหลังจากที่กินวิตามินซีก็มีส่วนที่ช่วยทำให้ใสขึ้นได้เช่นเดียวกัน เพราะวิตามินซีจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น และไปลดจุดด่างดำด้วยการทำหน้าที่เป็นสาร Antioxidant ผิวจะดูเรียบเนียนเป็นสีเดียวกัน จึงทำให้ผิวดูใสมีสุขภาพดีมากขึ้น
กิน Vitamin C ติดต่อกัน จะเกิดอันตรายหรือไม่?
สำหรับคนที่รับประทานวิตามินซี ชนิดเป็นอาหารเสริม แล้วต้องการรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน เกิดสงสัยว่าการรับประทานแบบนี้จะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ แม้จะรับประทานในแต่ละวันในสัดส่วนที่ไม่มากเกินความต้องการของร่างกาย เพื่อไขข้อข้องใจ เรามาดูการทำงานของวิตามินซี และผลจากการรับประทานวิตามินซีดังต่อไปนี้
- วิตามินซีจะเป็นวิตามินที่สามารถ "ละลายได้ในน้ำ" ดังนั้น หากเป็นเด็กควรได้รับวิตามินซีเพียงแค่ 35-45 กรัม/วัน ส่วนในผู้ใหญ่ควรอยู่ที่ 50-60 กรัม/วัน
- คนที่สูบบุหรี่ เป็นหวัดง่าย หรือหญิงตั้งครรภ์ สามารถรับได้มากกว่าปกติ
- การดูดซึมของวิตามินซี จะดูดซึมที่ลำไส้เล็ก ซึ่งการดูดซึมและครั้ง จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนที่ร่างกายรับประทานเข้าไป ยิ่งรับประทานมาก ร่างกายก็จะดูดซึมมากตามไปด้วย
- ผลข้างเคียงจากการรับวิตามินซีมากเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ยังไม่มีผลรายงานอันตรายต่อร่างกาย แต่ผลที่พบได้บ่อยคือผลข้างเคียงต่อระบบย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากการรับประทานในสัดส่วนที่มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย แสบท้อง ไม่สบายท้อง
- การรับประทานวิตามินซีมากเกินไปเพียงวันละ 1 กรัม พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในไตได้มากกว่าคนทั่วไปที่รับประทานในสัดส่วนพอดีกับความต้องการ
อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยมากที่สุด สำหรับคนที่รับประทานวิตามินซีต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายปี ควรรับประทานไม่เกิน 1 กรัม/วัน และเลือกเป็นวิตามินชนิด อม ที่ช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ดูดซึมเอาวิตามินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิตามินซี เป็นวิตามินทีมีความสำคัญต่อร่างกายของคนเราเป็นอย่างมาก ซึ่งจะช่วยบำรุงทั้งร่างกายให้แข็งแรงและบำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใสดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น โดยสามารถทานวิตามินซีได้ทั้งจากพืชผักผลไม้ทั่วไปและจากวิตามินซีเสริม แต่ทั้งนี้ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
คำถามจากผู้อ่านเกี่ยวกับวิตามินซี
การกินวิตามินซีแบบเม็ดเป็นประจำ มีผลข้างเคียงหรือเกิดสารตกข้างภายในร่างกายหรือไม่ อย่างไร
คำตอบ: องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าควรรับประทานวิตามินซีอย่างน้อยวันละ 60-95 มิลลิกรัม แต่ไม่เกิน 2 กรัม ผู้ชายควรได้รับวิตามินซี 90 มิลลิกรัม ผู้หญิงควรได้รับ 75 มิลลิกรัม ผู้ที่สูบบุหรี่ควรได้รับวิตามินซีเพิ่มจากคนปกติอีก 35 มิลลิกรัม สตรีมีครรภ์ควรได้รับวิตามินซี 90 มิลลิกรัม แม่ที่ให้นมบุตรควรได้รับ 75-120 มิลลิกรัม การรับประทานวิตามินซีมากแม้ว่าจะไม่เป็นพิษรุนแรงเพราะร่างกายขับวิตามินซีออกได้ทางปัสสาวะ แต่เมื่อวิตามินซีเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วจะได้กรดออกซาลิก ซึ่งหากกรดนี้มีมากเกินไปก็จะก่อตัวเป็นนิ่วได้ และยังก่อให้เกิดอาการท้องเสียและปวดท้องได้ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายแคลเซียมออกจากกระดูกเพิ่มขึ้นจึงลดฤทธิ์ยาจำพวกกันเลือดแข็งตัว เช่น wafarin sodium จึงทำให้เลือดออกมาก ลดการดูดซึมวิตามินบี12 การทานวิตามินซีปริมาณมากในเด็กจะทำให้เกิดผื่นและปวดศีรษะได้ วิตามินซีพบในผลไม้รสเปรี้ยวทุกชนิด มีมากที่สุดในผลมะขามป้อม นอกจากนั้นยังพบในผักใบเขียว มันฝรั่ง มะเขือเทศ วิตามินซีมีหลายรูปแบบ ชนิดที่พบในผลไม้จะดีที่สุดเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง เพิ่มการดูดซึมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีได้ดีกว่าวิตามินซีที่มาจากสารเคมีสังเคราะห์ - ตอบโดย สุทธิวรรณ บูรณะพิมพ์ (แพทย์จีน)
ฉีดวิตามินซีเข้าเส้นตามคลินิกความงามนี่ขาวจริงกรอคะ ต่างจากกินยังไง ทำไมมันแพงกว่าเยอะ
คำตอบ: เรื่องขาวจริงหรือไม่ แล้วแต่ตัวบุคคลครับ วิตามินซีช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวได้ก็จริงแต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและใช้เมื่อมีข้อบ่งชี้ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ฉีดให้ ไม่นำไปฉีดเอง สาดหตุที่แพงกว่าแบบกินเพราะว่า แบบกินกับแบบฉีดเป็นคนละรูปแบบ การดูดซึม และแบบกินย่อยในกระเพาะอาหาร ดูดซึมน้อยกว่าแบบฉีดสามารถนำไปใช้ได้เลย - ตอบโดย Rattapon Amampai (Dr.)
ร่างกายสามารถรับวิตามินซีได้มากสุดเท่าไรคะ
คำตอบ: ขึ้นอยูกับขนาดของวิตตามินซีที่รับประทานด้วยค่ะ เช่น หากรับประทานวิตตามินซีขนาด 200 mg ร่างกายก็จะสามารถดูดซึมได้ 100% หากรับประทานวิตตามินซีขนาด 500, 1000,1500 mg ก็พบว่าร่ายกายสามารถดูดซึมได้ประมาณ 50% ซึ่งใกล้เคียงกันค่ะ ดังนั้นหากจะรับประทาน ก็แนะนำให้ทานขนาด 500 มิลลิกรัม เช้า และ เย็นค่ะ - ตอบโดย Buakhao Arpaporn (พญ.)
คำตอบ 2: ประมาณ 2000 mg ค่ะ ไม่ควรรับเกินกว่านั้น - ตอบโดย นิชดา พงษ์ธัญญกรณ์ (พญ.)
ที่มา :: เว็บไซต์ honestdocs.co
ที่มา :: เว็บไซต์ honestdocs.co
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น